โรคปากเบี้ยว


ปากเบี้ยว หรือหน้าเบี้ยว  (Bell's Palsy/Facial Palsy)  คือ ภาวะที่กล้ามเนื้อใบหน้าข้างใดข้างหนึ่งอ่อนแรงหรือเกิดอัมพาตชั่วขณะ โดยมีสาเหตุมาจากเส้นประสาทบนใบหน้าเกิดความผิดปกติ ซึ่งภาวะนี้มักส่งผลให้ผู้ป่วยมีใบหน้าเบี้ยวครึ่งซีก ส่วนผู้ป่วยที่ใบหน้าเบี้ยวทั้งหมดพบได้ไม่บ่อยนัก


      อาการปากเบี้ยว
      อาการปากเบี้ยวจะแตกต่างกันไป ซึ่งมีตั้งแต่เกิดอาการชาระดับอ่อนไปจนถึงใบหน้าทั้งหมดเกิดอัมพาต อาการปากเบี้ยวมักจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรงภายใน 48 ชั่วโมง ซึ่งผู้ป่วยจะมีอาการ ดังนี้

·        ใบหน้าครึ่งซีกประสบภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรง ส่งผลให้ใบหน้าเบี้ยว หลับตาไม่ได้ หรือหลับตาไม่สนิท ปากเบี้ยวข้างหนึ่งรวมทั้งขยับใบหน้าไม่ได้
·        อาจเกิดการระคายเคืองที่ตา เช่น ตาแห้ง หรือน้ำตาไหลมากขึ้น
·        อาจเกิดอาการปวดที่หู ด้านล่างหู หรือรอบขากรรไกรของใบหน้าข้างที่เกิดอาการปากเบี้ยว
·        รับรสชาติผิดเพี้ยน หรือรับรสได้น้อยลง
·        ประสาทหูไวต่อเสียง
·        มุมปากข้างที่เบี้ยวจะมีน้ำลายไหลออกมา
·        ปากแห้ง
·        ปวดศีรษะ และเวียนศีรษะ
·        เกิดอาการหูอื้อข้างเดียวหรือทั้ง 2 ข้าง
·        เคี้ยวอาหารหรือดื่มน้ำลำบาก
·        พูดไม่ชัด

สาเหตุของปากเบี้ยว
ปากเบี้ยวเกิดจากเส้นประสาทใบหน้าหรือเส้นประสาทสมองคู่ที่ 7 บวมหรืออักเสบ ส่งผลให้กล้ามเนื้อใบหน้าอ่อนแรงหรือเป็นอัมพาต สาเหตุที่ทำให้เส้นประสาทใบหน้าผิดปกติยังไม่ปรากฏแน่ชัด อย่างไรก็ตาม สาเหตุที่ทำให้เส้นประสาทใบหน้าอักเสบนั้นอาจมีแนวโน้มมาจากการติดเชื้อไวรัส ซึ่งเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดภาวะปากเบี้ยว มักเป็นเชื้อของโรคต่อไปนี้

·        โรคเริม เชื้อของโรคเริมที่ทำให้เส้นประสาทใบหน้าเกิดการอักเสบ มี 2 ชนิด ได้แก่ เชื้อไวรัสเอชเอสวี (HSV) ซึ่งมีทั้งเชื้อไวรัสเอชเอสวี ชนิด 1 (HSV-1) และเชื้อไวรัสเอชเอสวี ชนิด 2 (HSV-2) โดยเชื้อเอชเอสวี ชนิด 1 จะก่อให้เกิดแผลที่ปาก ส่วนเชื้อเอชเอสวี ชนิด 2 มักจะทำให้เกิดเริมที่อวัยวะเพศ
·        เชื้อไวรัสวาริเซลล่า (Varicella Virus) ซึ่งทำให้เกิดโรคอีสุกอีใสและงูสวัด เชื้อไวรัสชนิดนี้จัดเป็นเชื้อที่ทำให้เกิดปากเบี้ยวได้น้อยกว่าเชื้อไวรัสเอชเอสวี อย่างไรก็ตาม เชื้อวาริเซลล่าสามารถก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพร้ายแรงอย่างกลุ่มอาการปากบี้ยวครึ่งซีก (Ramsay Hunt Syndrome) ได้
·        โรคอื่น ๆ ผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสจากโรคอื่น ๆ ก็อาจประสบภาวะปากเบี้ยวได้ ซึ่งได้แก่ โรคไซโตเมกาโลไวรัส หรือเชื้อซีเอ็มวี (Cytomegalovirus: CMV) ไวรัสเอ็บสไตบาร์ หรือเชื้ออีบีวี (Epstein-Barr Virus: EBV) ทำให้ป่วยเป็นโรคโมโนนิวคลีโอสิส (Mononucleosis)

การรักษาปากเบี้ยว
ผู้ป่วยปากเบี้ยวส่วนใหญ่จะพักฟื้นร่างกายและหายได้เองโดยอาจไม่จำเป็นต้องรับการรักษา แต่จะใช้เวลาพักฟื้นนาน ซึ่งอาจใช้เวลานานถึง 9 เดือน ทั้งนี้ ผู้ป่วยต้องดูแลดวงตาให้ดีในช่วงที่พักฟื้นร่างกาย อย่างไรก็ตาม การเข้ารับการรักษาจะช่วยให้พักฟื้นได้เร็วขึ้น โดยวิธีรักษาปากเบี้ยวนั้นประกอบด้วยการรักษาด้วยยา กายภาพบำบัด และการผ่าตัด ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้

·        การรักษาด้วยยา  วิธีนี้จะช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นตัวจากอาการป่วยได้เร็วกว่าเดิม
·        กายภาพบำบัด ผู้ป่วยที่อาการไม่ดีขึ้นและไม่สามารถฟื้นตัวหลังได้รับการรักษา จำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างอื่นเพิ่มเติม นักกายภาพบำบัดจะสอนให้ผู้ป่วยบริหารและนวดใบหน้า เพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อดังกล่าว เพื่อช่วยให้อวัยวะบนใบหน้าเคลื่อนไหวได้อย่างสอดประสาน รวมทั้งป้องกันกล้ามเนื้อใบหน้าหดตัวถาวร
·        การผ่าตัด ศัลยแพทย์จะร่วมกันผ่าตัด เพื่อช่วยจัดการปัญหากล้ามเนื้อใบหน้าอ่อนแรง วิธีนี้อาจช่วยไม่ให้อาการป่วยของดวงตาแย่ลง รวมทั้งยกระดับการทำงานและลักษณะของใบหน้าให้ดีขึ้น รวมทั้งปรับการมองเห็นและลักษณะใบหน้าให้ดีขึ้น ทั้งนี้ การผ่าตัดยังช่วยปรับตำแหน่งปาก ปรับความสมมาตรของใบหน้า รักษาปัญหาเกี่ยวกับการพูด รับประทานอาหาร และดื่มน้ำ ผู้ป่วยบางรายอาจได้รับการผ่าตัดเส้นประสาทหรือย้ายเส้นเอ็น เส้นประสาท และกล้ามเนื้อ อย่างไรก็ตาม แพทย์จะไม่ค่อยผ่าตัดเส้นประสาทใบหน้าที่ถูกกดทับให้แก่ผู้ป่วย เนื่องจากผู้ป่วยเสี่ยงได้รับบาดเจ็บที่เส้นประสาทใบหน้า และสูญเสียการได้ยินถาวร
·        การฉีดโบทอกซ์ ผู้ป่วยปากเบี้ยว รวมทั้งผู้ที่มีน้ำตาไหลระหว่างรับประทานอาหารหรือเส้นประสาทใบหน้าต่อกันผิด จำเป็นต้องได้รับการฉีดโบทอกซ์ โดยแพทย์จะฉีดโบทอกซ์เข้าที่ใบหน้าข้างที่เบี้ยว เพื่อให้กล้ามเนื้อคลายตัวหรือลดการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อที่ไม่ต้องการ ทั้งนี้ แพทย์จะฉีดโบทอกซ์ตรงหน้าข้างที่ไม่ได้เบี้ยวด้วยในกรณีที่ใบหน้าข้างนั้นได้รับผลกระทบจากอาการปากเบี้ยว เพื่อลดการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อใบหน้าและทำให้ใบหน้า 2 ข้างสมดุลกัน



ความคิดเห็น