เยื่อหุ้มสมองอักเสบ (Meningitis) เป็นโรคที่เกิดการติดเชื้อที่อาจเกิดจากเชื้อไวรัส
เชื้อแบคทีเรีย
หรือเชื้อราบริเวณเยื่อหุ้มที่หุ้มรอบสมองและไขสันหลังจนทำให้บริเวณดังกล่าวอักเสบบวม
ทำให้เกิดอาการอื่น ๆ ตามมา เช่น ปวดศีรษะ คอแข็งขยับไม่ได้ และเป็นไข้
เยื่อหุ้มสมองอักเสบพบมากในเด็กอ่อน เด็กเล็ก วัยรุ่น จนถึงวัยผู้ใหญ่
และบางชนิดอาจเป็นอันตรายร้ายแรงหากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที
อาการของโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ
อาการของเยื่อหุ้มสมองอักเสบในระยะแรกเริ่มอาจคล้ายคลึงอาการของโรคไข้หวัดใหญ่
โดยจะแสดงอาการมากขึ้นเมื่อผ่านไปหลายชั่วโมงหรือเป็นเวลา 2-3 วันแล้ว
อาการที่อาจเกิดขึ้นได้ในผู้ป่วยอายุตั้งแต่ 2 ปีขึ้นไป มีดังนี้
·
คอแข็ง
·
มีอาการสับสน
ไม่มีสมาธิในการจดจ่อ
·
ไข้ขึ้นสูงเฉียบพลัน
·
ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน
·
ชัก
·
แพ้แสงหรือไวต่อแสง
·
ไม่มีความกระหายหรืออยากอาหาร
·
ปวดหัวอย่างรุนแรงผิดปกติ
·
ง่วงนอน หรือตื่นนอนยาก
·
ผิวหนังเป็นผื่น
พบได้ในผู้ป่วยเยื่อหุ้มสมองอักเสบที่เกิดจากเชื้อไข้กาฬหลังแอ่น
เด็กแรกเกิดจนกระทั่งอายุไม่เกิน
1
เดือน สามารถเป็นเยื่อหุ้มสมองอักเสบได้เช่นกัน
โดยอาจมีอาการดังนี้
·
ร้องไห้ตลอดเวลา
·
มีไข้สูง
·
ตัวและลำคอแข็ง
·
นอนหลับมากเกินไป
หรือหงุดหงิดง่าย
·
เฉื่อยชา เคลื่อนไหวน้อย
·
กระหม่อมนูนดื่มนมได้น้อยลงมาก
สาเหตุของโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ
เยื่อหุ้มสมองอักเสบส่วนมากเกิดจากการติดเชื้อไวรัส
รองลงมาคือการติดเชื้อจากแบคทีเรีย และจากเชื้อรา ตามลำดับ
·
สาเหตุจากเชื้อไวรัส
เยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อไวรัสเป็นชนิดที่รุนแรงน้อยที่สุด
แต่ก็ไม่เสมอไปเพราะอาจเป็นการติดเชื้อจากไวรัสที่ทำให้เกิดอาการ เช่น ท้องเสีย
เป็นต้น แต่มีโอกาสน้อยมากที่เยื่อหุ้มสมองอักเสบจากไวรัสจะทำอันตรายต่อสมองถาวรหลังจากอาการติดเชื้อบรรเทาลงแล้ว
เพราะสามารถหายได้เอง เชื้อไวรัสที่สามารถไปสู่เยื่อหุ้มสมองและก่อให้เกิดเยื่อหุ้มสมองอักเสบได้
ได้แก่ ไวรัสโรคคางทูม (Mumps) ไวรัสโรคเริม
(Herpes) ไวรัสจากโรคอีสุกอีใส
(Chicken pox) และไวรัสจากไข้หวัด
(Influenza) เป็นต้น
·
สาเหตุจากเชื้อแบคทีเรีย
การติดเชื้อจากแบคทีเรียที่เยื่อหุ้มสมองสามารถส่งผลอันตรายอย่างรุนแรง
ผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับการรักษา ซึ่งหากไม่รับการรักษาโดยเร็ว
การติดเชื้อชนิดนี้จะร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิตหรือเกิดการกระทบกระเทือนต่อสมองและร่างกายส่วนอื่น
ๆ อย่างถาวร นอกจากนี้ การติดเชื้อเยื่อหุ้มสมองอักเสบชนิดนี้สามารถแพร่กระจายไปสู่ผู้อื่นผ่านการไอและจามได้
โดยแบคทีเรียที่เข้าไปสู่เลือดผ่านโพรงจมูก หู หรือส่วนอื่น ๆ
ของทางเดินหายใจตอนบน และเข้าไปยังสมองในที่สุด
เชื้อแบคทีเรียที่มักเป็นสาเหตุของเยื่อหุ้มสมองอักเสบ
ได้แก่
– Neisseria meningitidis (Meningococcus) ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคไข้กาฬหลังแอ่น
– Streptococcus pneumoniae (Pneumococcus) ที่พบได้ในภาวะปอดอักเสบติดเชื้อ
ส่วนเชื้อแบคทีเรียชนิดอื่น
ๆ ที่มีโอกาสเป็นสาเหตุการเกิดได้เช่นกัน ได้แก่
– เชื้อแบคทีเรียโรคฮิบ (Haemophilus
influenzae Type B)
– เชื้ออีโคไล (Escherichia
coli: E. coli)
– เชื้อวัณโรค
(TB)
·
สาเหตุจากเชื้อรา
เยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อราเป็นสาเหตุที่พบได้น้อยที่สุด
ผู้ที่มีร่างกายแข็งแรงมักจะไม่ติดเชื้อชนิดนี้
แต่ผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันบกพร่องอย่างผู้ติดเชื้อเอดส์มักมีความเป็นไปได้สูงที่จะเกิดโรคนี้ด้วย
การรักษาโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ
วิธีการรักษาขึ้นอยู่กับชนิดของการติดเชื้อ
ผู้ป่วยที่ติดเชื้อแบคทีเรียแบบเฉียบพลันจำเป็นต้องได้รับการรักษาทันที
โดยรับยาปฏิชีวนะเข้าเส้นเลือดดำ ทั้งนี้ การจะเลือกใช้ยาปฏิชีวนะใด ๆ
ก็ขึ้นอยู่กับชนิดของแบคทีเรียที่ทำให้เกิดการติดเชื้อ
ส่วนอาการเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อไวรัสนั้นสามารถบรรเทาลงได้เองภายใน
2
สัปดาห์ และไม่ทำให้เกิดผลกระทบใด ๆ ต่อร่างกาย
ผู้ป่วยอาจรักษาด้วยตนเองโดยการนอนพักผ่อน ดื่มน้ำให้มาก
และรับประทานยาลดไข้และบรรเทาอาการปวด ทั้งนี้แพทย์อาจสั่งจ่ายยาคอร์ติสเตียรอยด์
(Corticosteroids)
เพื่อลดการบวมในสมอง ยาต้านชัก (Anticonvulsant) เพื่อควบคุมการชักของผู้ป่วย
หรือยาต้านไวรัส หากเป็นการติดเชื้อที่เกิดจากไวรัส Herpes หากเกิดจากเชื้อชนิดอื่น
สามารถรักษาโดยการให้ยาฆ่าเชื้อนั้น ๆ ร่วมกับการรักษาประคับประคองตามอาการ
ภาวะแทรกซ้อนของโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ
ความรุนแรงของอาการแทรกซ้อนจากเยื่อหุ้มสมองอักเสบขึ้นอยู่กับความรุนแรงของการติดเชื้อ
ซึ่งภาวะแทรกซ้อนสามารถมีได้หลากหลาย ดังนี้
·
อาการชัก
·
ปัญหาด้านความทรงจำและการจดจ่อสมาธิ
·
ปัญหาด้านการเคลื่อนไหว
การประสานงาน และความสมดุลของร่างกาย
·
ปัญหาด้านพฤติกรรม
·
ปัญหาในการเรียนรู้เรื่องที่ยาก
·
สูญเสียการได้ยิน
อาจได้ยินเพียงบางส่วนหรือไม่ได้ยินเลย
·
สูญเสียการมองเห็นเป็นบางส่วนหรือทั้งหมด
·
สูญเสียแขนขา
ผู้ป่วยอาจต้องตัดแขนขา ป้องกันการติดเชื้อไปสู่ร่างกาย
·
ปัญหาเกี่ยวกับกระดูกและข้อต่อ
เช่น ข้ออักเสบ
·
ปัญหาเกี่ยวกับไต
·
มีปัญหาในการนอนหลับ เช่น
อาการนอนไม่หลับ
·
มีปัญหาในการพูด
การป้องกันโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ
เนื่องจากการติดเชื้อเยื่อหุ้มสมองอักเสบสามารถแพร่กระจายได้ทางการไอ
จาม และการใช้ของใช้ส่วนตัวบางอย่างร่วมกัน เช่น แปรงสีฟันหรือช้อน
การรักษาสุขภาพและสุขอนามัยจึงเป็นส่วนสำคัญในการป้องกันตนเองจากเยื่อหุ้มสมองอักเสบ
โดยควรล้างมือบ่อย ๆ เพื่อป้องกันการสะสมเชื้อโรค
หลีกเลี่ยงการดื่มหรือรับประทานอาหารจากภาชนะเดียวกันกับผู้อื่น
และส่งเสริมภูมิคุ้มกันของร่างกายด้วยการพักผ่อนให้เพียงพอ
รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
หากมีการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียซึ่งเป็นการติดเชื้อชนิดที่ร้ายแรง
แพทย์จะแนะนำให้รับประทานยาปฏิชีวนะเพื่อป้องกันการเกิดโรค
นอกจากนี้
อีกหนึ่งวิธีที่สามารถป้องกันเยื่อหุ้มสมองอักเสบได้คือการฉีดวัคซีน ซึ่งวัคซีนที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันเยื่อหุ้มสมองอักเสบ
ได้แก่
·
วัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อฮิบ (Haemophilus
Influenzae Type B) เป็นวัคซีนป้องกันเชื้อที่อาจก่อให้เกิดโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ
รวมถึงโรคอื่น ๆ เช่น ปอดบวม หูชั้นกลางอักเสบ ข้ออักเสบ ปอดอักเสบ
โดยฉีดให้เมื่อเด็กอายุมากกว่า 2
เดือนขึ้นไป การฉีดวัคซีนชนิดนี้อาจมีผลข้างเคียงทำให้เด็กรู้สึกเบื่ออาหาร
อย่างไรก็ตาม
วัคซีนโรคติดเชื้อฮิบในประเทศไทยยังมีราคาแพงและไม่ได้อยู่ในแผนเสริมสร้างความคุ้มกันโรคของกระทรวงสาธารณสุข
·
วัคซีน IPD (Pneumococcal
Vaccine) เป็นวัคซีนฉีดเพื่อป้องกันการติดเชื้อจากแบคทีเรียนิวโมคอกคัส
(Pneumococcus) ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคปอดอักเสบ
หูชั้นกลางอักเสบ ติดเชื้อในกระแสเลือด รวมถึงเยื่อหุ้มสมองอักเสบ โดยมี 2 ชนิด คือ PCV13
ที่ครอบคลุมการติดเชื้อ 13
ชนิด และ PPSV23
ที่ครอบคลุมการติดเชื้อได้ 23
ชนิด แพทย์จะฉีดวัคซีนนี้ให้ตามความเหมาะสม
ซึ่งอาจมีผลข้างเคียงทำให้บวมแดงบริเวณที่ฉีด หรือมีไข้อ่อน ๆ และจะค่อย ๆ
บรรเทาลงเมื่อเวลาผ่านไป 2-3
วัน แม้วัคซีน IPD จะมีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคอันตรายดังกล่าว
แต่ก็มีราคาแพงและไม่ได้ครอบคลุมเชื้อทุกสายพันธ์ มีระยะเวลาป้องกันโรคเพียง 2-3 ปี
อีกทั้งอุบัติการณ์ของโรคดังกล่าวในไทยก็น้อยมาก การฉีดวัคซีน IPD สำหรับในระดับประเทศจึงควรคำนึงถึงความคุ้มค่าของวัคซีน
โดยพิจารณาฉีดให้ผู้ใหญ่อายุมากกว่า 65
ปี และเด็กที่มีความเสี่ยงสูง ได้แก่ เด็กที่ป่วยเป็นโรคเรื้อรัง
ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง ติดเชื้อเอชไอวี ไม่มีม้ามหรือม้ามทำงานไม่ดี
อยู่ในสภาพแวดล้อมหรือภาวะเสี่ยง
และเด็กที่ได้รับการผ่าตัดใส่วัสดุเทียมของหูชั้นในหรือมีการเปลี่ยนอวัยวะ
·
วัคซีนป้องกันโรคหัด
โรคคางทูม และโรคหัดเยอรมัน (MMR) วัคซีนชนิดนี้สามารถรักษาโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบที่เป็นภาวะแทรกซ้อนของโรคเหล่านี้ไปด้วย
มีวิธีการโดยฉีดเข้าใต้ชั้นผิวหนัง
ซึ่งการฉีดวัคซีนนี้อาจส่งผลข้างเคียงให้เกิดไข้ ผื่นแดง อาการของโรคหวัดต่าง ๆ
และต่อมน้ำลายบวม
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น